บายศรีผ้าไทย เป็นศิลปะประดิษฐ์ชั้นสูงของไทย ที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนช้อยแต่งามสง่า นิยมในการใช้บายศรีประกอบในพิธีมงคลต่างๆ ของชาวไทย

Blogroll

กลุ่มบายศรี หนองป่าครั่ง เชียงใหม่

เริ่มต้นจากเรียนบายศรีตอง แล้วพัฒนามาเป็นบายศรีผ้า หลังจากที่ได้ทำการสอนมาได้ประมาณ 5 เดือน ปัจจุบัน กลุ่มบายศรีหนองป่าครั่ง ได้พัฒนาบายศรีผ้าให้มีขนาดเล็กลง (บายศรีจิ๋ว) เพื่อนำเสนอในรูปแบบของฝากของที่ระลึก และไว้บูชาพระ

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559

ประวัติของกลุ่มบายศรี ชุมชนหนองป่าครั่ง จังหวัดเชียงใหม่


https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSV-PRJEoD17JKXiL7HXBR-wgk77B9-yS0pW2v7n-5pVL0NORgr
สถานที่ตั้ง
     กลุ่มบายศรีหนองป่าครั่ง เลขที่  90/21-22  หมู่ที่ 6 ตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ รหัสไปรษณีย์  50000

ประวัติความเป็นมากลุ่มบายศรี ชุมชนเทศบาลหนองป่าครั่ง     กลุ่มบายศรีหนองป่าครั่ง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2547    ผู้ริเริ่มก่อตั้งคือ คุณวรรณา  เลิศเกียรติดำรงค์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานกลุ่มหนองป่าครั่งพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ลงพื้นที่สำรวจความเป็นอยู่ของประชาชน ตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้เห็นสภาพเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชน จากการสำรวจทางกลุ่มพัฒนาคุณภาพชีวิตหาแนวทางในการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ประกอบกับในตำบลหนองป่าครั่งมีชาวบ้านที่มีฝีมือในการทำบายศรี จึงได้จัดให้มีการสอนบายศรีให้กับประชาชนในตำบลหนองป่าครั่ง ซึ่งมีทั้งหมด 7 หมู่บ้าน โดยเริ่มแรกประชาชนที่เข้ามาฝึกอบรมมีจำนวนประมาณ 50 คน ทำการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ทุกวันอาทิตย์ เวลา  9.00 – 17.00 น. สถานที่ทำการสอนคือ บริเวณบ้านทอฝัน  ซึ่งเป็นบ้านของคุณวรรณา เลิศเกียรติดำรงค์ โดยเริ่มต้นจากเรียนบายศรีตอง แล้วพัฒนามาเป็นบายศรีผ้า  หลังจากที่ได้ทำการสอนมาได้ประมาณ 5 เดือน ปัจจุบัน กลุ่มบายศรีหนองป่าครั่ง ได้พัฒนาบายศรีผ้าให้มีขนาดเล็กลง (บายศรีจิ๋ว) เพื่อนำเสนอในรูปแบบของฝากของที่ระลึก และไว้บูชาพระ
Share:

บายศรีขันผูกมือสามชั้น

 
 
บายศรีขันผูกมือสามชั้น 
ใช้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นของฝากของที่ระลึก และใช้สำหรับตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ ตามสมควร  
ขนาดของฐาน 5 นิ้ว  ราคาคู่ละ  3,800  บาท 

Share:

บายศรีเทพหงส์ 2 ชั้น




บายศรีเทพหงส์ 2 ชั้น 
ใช้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นของฝากของที่ระลึก และใช้สำหรับตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ ตามสมควร มีขนาดตั้งแต่ 4 นิ้ว - 6 นิ้ว
ขนาด 4 นิ้ว ราคาคู่ละ  1,700  บาท
ขนาด 5 นิ้ว ราคาคู่ละ  2,200  บาท
ขนาด 6 นิ้ว ราคาคู่ละ  2,800  บาท

Share:

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559

ขั้นตอนการทำบายศรี

ขั้นตอนการทำบายศรี
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjoRYn9TDafIAhwWy0sOp7o8NWW-fEjcTIsFD1069rrmYLSDdeQx11sW3xvmuLGh-_BImB0W61dirZdlRZ2Trcm6YcnNYTfT2nzM_USgyppkcwcgA3rq64h8KJAv6FwxqUA4o_85_pOPBQ/s320/1.jpg


อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำบายศรี
     การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ไว้ให้พร้อม เป็นการเตรียมการที่ดี สามารถดำเนินงานได้ด้วยความเรียบร้อยรวดเร็วซึ่งมีอุปกรณ์ที่ควรจะต้องเตรี ยมไว้ดังต่อไปนี้
1.ใบตอง (ควรให้ใบตองกล้วยตานี)
2. พานแว่นฟ้า ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ผูกติดกันไว้ด้วยลวด และรองพื้นพานด้วยโฟม
3. ภาชนะปากกว้างสำหรับใส่น้ำแช่ใบตอง 2 ใบ
4. สารส้ม
5. น้ำมันมะกอก ชนิดสีเหลือง หรือขาว
6. ไม้ปลายแหลม (ขนาดไม้เสียบลูกชิ้น) ประมาณ 20-30 อัน
7. ดอกไม้ (ดอกพุด ดอกดาวเรือง ดอกบานไม่รู้โรย ฯลฯ)
8. กรรไกร สำหรับตัดใบตอง
9. ลวดเย็บกระดาษ

การเลือกและการทำความสะอาดใบตอง

     ใบตองที่นำมาใช้สำหรับทำบายศรี มักนิยมใช้ใบตองจากกล้วยตานี เนื่องจากเป็นใบตองที่มีลักษณะเป็นเงา มันวาว เมื่อโดนน้ำจะยิ่งเกิดประกายสีเขียวเข้มสวยงามยิ่งขึ้น และที่สำคัญ ใบตองจากกล้วยตานี มีความคงทน ไม่แตกง่าย ไม่เหี่ยวง่าย สามารถนำมาพับม้วนเป็นรูปลักษณะต่างๆได้ง่าย และสามารถเก็บไว้ได้นานหลายวัน หรือถ้ารักษาโดยหมั่นพรมน้ำบ่อยๆ ใบตองกล้วยตานี จะสามารถคงทนอยู่ได้นานเป็นสัปดาห์ทีเดียว
     เมื่อได้ใบตองกล้วยตานีมาแล้ว จะต้องนำมาทำความสะอาดก่อน ด้วยการเช็ด โดยใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่างๆออกจากใบตองเสียก่อน โดยการเช็ด จะต้องใช้ผ้าเช็ดตามรอยของเส้นใบไปในทางเดียว อย่าเช็ดกลับไปกลับมา หรืออย่าเช็ดขวางเส้นใบเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ใบตองเสียหาย มีรอยแตก และช้ำ ทำให้ไม่สามารถนำใบตองมาใช้งานได้เต็มที่ เมื่อเช็ดสะอาดดีแล้ว ก็ให้พับพอหลวมๆ เรียงซ้อนกันไว้ให้เป็นระเบียบ เพื่อรอนำมาใช้งานในขั้นตอนต่อไป

การฉีกใบตองเพื่อเตรีมทำกรวยบายศรี
     ใบตองที่ได้ทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หยิบมาทีละใบ แล้วนำมาฉีกเพื่อเตรียมไว้สำหรับม้วนหรือพับ ทำกรวยบายศรี
การพับหรือฉีกใบตองแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. ใบตองสำหรับทำกรวยแม่ ฉีกกว้างประมาณ 2 นิ้วฟุต
2. ใบตองสำหรับทำกรวยลูก ฉีกกว้างประมาณ 2 นิ้วฟุต
3. ใบตองสำหรับห่อ ฉีกกว้างประมาณ 1.5 นิ้วฟุต
     ใบตอง แต่ละประเภท ควรฉีกเตรียมไว้ให้ได้จำนวนที่ต้องการ กล่าวคือ ถ้าทำพานบายศรี 3 ชั้น ชั้นละ 4 ทิศ ( 4 ริ้ว ) นั่นก็หมายถึงว่าจะมีริ้วทั้งหมด 12 ริ้ว ในแต่ละริ้ว จะประกอบด้วยกรวยแม่ 1 กรวย และ กรวยลูก 9 กรวย รวมทั้งสิ้น จะมีกรวยแม่ 12 กรวย และ กรวยลูก 108 กรวย นั่นเอง แสดงว่าจะต้องมีใบตองสำหรับทำกรวยแม่ 12 ชิ้น ใบตองสำหรับทำกรวยลูก 108 ชิ้น ใบตองสำหรับห่อ 120 ชิ้น นั่นเอง แต่ใบตองสำหรับห่อ จะต้องเตรียมไว้เพื่อห่อริ้วอีก คือใน 1 ริ้วจะประกอบไปด้วย กรวยแม่ 1 กรวย กรวยลูก 9 กรวย ซึ่งจะต้องมาห่อรวมกัน ดังนั้น จึงต้องเพิ่มใบตองสำหรับห่ออีก 120 ชิ้น รวมเป็นใบตองสำหรับห่อ 240

การพับกรวยและห่อกรวยบายศรี


     หมายถึง การนำใบตองที่ฉีกเตรียมไว้แล้วสำหรับพับกรวย มาพับ โดยการพับกรวยแม่และกรวยลูกจะมีลักษณะวิธีการพับเหมือนกัน คือ การนำใบตองมาพับม้วนให้เป็นกรวยปลายแหลม เพียงแต่กรวยลูกจะมีการนำดอกพุด มาวางเสียบไว้ที่ส่วนยอดปลายแหลมของกรวยด้วย เมื่อพับหรือม้วนใบตองเป็นกรวยเสร็จในแต่ละกรวยแล้ว ให้นำลวดเย็บกระดาษ มาเย็บใบตองไว้เพื่อป้องกันใบตองคลายตัวออกจากกัน แล้วเก็บกรวยแต่ละประเภทไว้จนครบจำนวนที่ต้องการเมื่อได้กรวยแต่ละประเภทครบ ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็นำกรวยที่ได้มาห่อ โดยการนำใบตองที่ฉีกเตรียมไว้สำหรับห่อมาห่อกรวย หรือเรียกอีกอย่างว่า ห่มผ้า หรือ แต่งตัวให้กรวยบายศรี ส่วนวิธีการห่อ ศึกษาได้จากภาพยนตร์ที่แสดงให้ชม ตอนที่ 6 การห่อริ้วบายศรีและการแช่น้ำ
     การห่อริ้วบายศรี คือการนำกรวยแม่ และ กรวยลูกที่ได้ห่อกรวยไว้เรียบร้อยแล้ว มาห่อมัดรวมเข้าไว้ด้วยกัน ที่นิยมทำกัน ใน 1 ริ้ว จะประกอบด้วย กรวยแม่ 1 กรวย กรวยลูก 9 กรวย

วิธีการห่อริ้ว มีการห่อคล้ายกับการห่อกรวยแม่หรือกรวยลูก


แบ่งวิธีตามลักษณะงานที่ได้เป็น 2 วิธี คือ
     1. ห่อแบบตรง คือการห่อโดยเริ่มต้นจากกรวยแม่ แล้ววางกรวยลูกไว้ด้านบนกรวยแม่เป็นชั้นๆทับกันขึ้นมา หรือหันกรวยลูกเข้าหาตัวผู้ห่อ การห่อแบบนี้ จะได้ริ้วบายศรีค่อนข้างตรง และในช่วงตัวริ้ว จะมีรอยหยักของใบตองห่อเรียกว่า มีเกล็ด
     2. ห่อแบบหวาน คือการห่อ โดยเริ่มต้นจากกรวยแม่ แต่วางกรวยลูกไว้ด้านล่างของกรวยแม่ และวางซ้อนลงด้านล่างลงไปจนครบ หรือหันกรวยแม่เข้าหาตัวผู้ห่อ โดยวางกรวยลูกลงด้านล่างจนครบนั่นเอง การห่อแบบนี้ จะได้ริ้วบายศรีเป็นลักษณะอ่อนช้อย งอน อ่อนหวาน
     เมื่อห่อริ้วจนเสร็จในแต่ละริ้วแล้ว จึงนำริ้วที่ได้ลงแช่ในน้ำผสมสารส้มที่เตรียมไว้ประมาณ 20 นาที เพื่อให้ใบตองเข้ารูปทรง อยู่ตัวตามที่ได้พับและห่อ จากนั้น จึงนำไปแช่ในน้ำผสมน้ำมันมะกอกต่อไปเพื่อให้ริ้วมีความเป็นมันวาว เน้นสีเขียวเข้มของใบตองมากขึ้น และมีกลิ่นหอมในตัวเอง

การประกอบพานบายศรี
     ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทำบายศรี คือการนำริ้วที่ทำเสร็จแล้วและแช่ในน้ำผสมน้ำมันมะกอกแล้ว มาประกอบเข้ากับพานบายศรี 3 ชั้นที่ได้เตรียมไว้
     การน้ำริ้ว มาประกอบกับพาน ควรเริ่มต้นจากพานใหญ่สุด หรือพานที่วางอยู่ชั้นล่างสุดก่อน โดยการวางให้ริ้วอยู่บนพานให้มีระยะห่างเท่าๆกัน 4 ริ้ว ( 4 ทิศ ) ซึ่งจะยึดริ้วติดกับพานโดยใช้ไม้ปลายแหลมที่เตรียมไว้แล้ว มากลัด หรือเสียบจากด้านบนของริ้วให้ทะลุไปยึดติดกับโฟมที่รองไว้บนพื้นพาน
     การประกอบริ้วกับพานชั้นกลาง และชั้นบนสุดก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่จะต้องให้ริ้วชั้นที่ 2 วางสลับกับริ้วชั้นแรก และริ้วบนพานชั้นบนสุด ก็ให้สลับกับริ้วบนพานชั้นกลาง การประกอบริ้วกับพานชั้นบนสุด ให้ห่อใบตองเป็นกรวยขนาดใหญ่พอควรวางไว้เป็นแกนกลางของพาน เมื่อวางริ้วทั้ง 4 ริ้วเสร็จแล้ว ให้รวบปลายสุดของริ้วทั้ง 4 เข้าหากัน โดยมีกรวยที่ทำเป็นแกนกลางอยู่ด้านใน แล้วนำใบตองม้วนเป็นกรวยขนาดใหญ่อีกกรวย มาครอบทับยอดทั้ง 4 ของริ้วไว้ ซึ่งจะทำให้พานบายศรีที่ได้ มียอดแหลมที่สวยงามและมั่นคง
     จากนั้นจึงนำใบไม้ (ส่วนใหญ่จะนำใบไม้ที่มีชื่อเป็นมงคล เช่น ใบเงิน ใบทอง ) มาวางรองบนพาน เพื่อปกปิดไม่ให้มองเห็นโฟมที่รองพื้นพาน และนำดอกไม้สีสด เช่น ดอกบานไม่รู้โรย หรือดอกดาวเรือง มาประดับบนพานเพิ่มความสวยงามหรือทำมาลัย สวมบนยอด หรือทำเป็นอุบะร้อยรอบพานแต่ละชั้น ก็จะเพิ่มสีสัน และความสวยงามให้แก่พานบายศรีมากขึ้น


Share:

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

ขันไหว้สามังคละ บายศรีชาวล้านนา


ขันไหว้สามังคละ
ขัน (ภาษาล้านนา) 
หมายถึง พานของชาวล้านนาถือเป็นของสูงในการสักการบูชาบุคคลที่ให้ความเคารพนับถือ         
ไหว้สา (ภาษาล้านนา) 
นั้นหมายถึงไหว้ด้วยความเคารพนอบน้อม ซึ่งหมายถึงการ ให้ความเคารพแก่บุคคลสำคัญ   
มังคละ (ภาษาล้านนา) 
หมายถึง ความเป็นสิริมงคลในทางล้านนามี ๑๐๘ ประการ ถือเป็นมงคลสูงสุด
              
การประดิษฐ์ชุดขันไหว้สามังคละ   
     ประดิษฐ์ขึ้นตามความเชื่อของชาวล้านนาในเรื่องการยกยอบุคคลสำคัญที่ผู้มอบให้การเคารพนับถือ  ซึ่งความหมายขององค์ประกอบของขันมังคละ มีดังต่อไปนี้
- บายศรีล้านนา   
บายศรีเครื่องสักการะล้านนาชนิดหนึ่งจัดเป็นเครื่องสักการะชั้นสูงของชาวล้านนา ผู้ใดได้รับถือเป็นมงคลชีวิต
- สวยดอก          
สวยดอกเครื่องสักการะอีกประเภทหนึ่งใช้ในการสักการะบุคคลสำคัญ นิยมใช้ในทุกเทศกาลของชาวล้านนา
- น้ำอบ    
เครื่องหอมที่ชาวล้านนานิยมใช้ในเทศกาลต่างๆ ถือเป็นน้ำที่สูงคุณค่าควรแก่การบูชา
- น้ำต้นและสลุง     
น้ำต้น (คนโท) เป็นสัญลักษณ์แห่งความชุ่มเย็นแก่ผู้ที่ได้รับ
- หม้อน้ำ     
สัญลักษณ์แห่งการมีน้ำใจของชาวล้านนาในสมัยโบราณ ชาวล้านนานิยมตั้งไว้บริเวณหน้าบ้านเพื่อให้ผู้เดินทางที่ผ่านไปมาสามารถตักดื่มกิน
- ผ้าต่อง (ผ้าขาวม้า)  
ชาวล้านนาเชื่อว่าหากมีงานสำคัญการได้ให้ผ้าใหม่ แล้วผู้นั้นจะสะอาดหมดจดดังนั้นการมอบผ้าใหม่ถือเป็นมงคลยิ่งแก่ผู้ให้และผู้รับ

ประโยชน์ใช้สอยของผลิตภัณฑ์
      บายศรีมีไว้สำหรับบูชาพระ บูชาเทพ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือ และสำหรับตั้งโชว์
หรือให้เป็นของขวัญ ของที่ระลึก เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต แก่ผู้ให้ และผู้รับ อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์บายศรีแบบดั้งเดิมมิให้สูญหายไป
Share:

ประวัติความเป็นมาของ บายศรี

 

     บายศรีเป็นศิลปะประดิษฐ์ชั้นสูงของไทยที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนช้อยแต่งามสง่า ตั้งแต่กระบวนการทำ จนปรากฏเป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และทักษะชั้นสูงในการประดิษฐ์ อีกทั้งยังเป็นงานประณีตศิลป์ที่สะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการอันงดงามที่มาจากจิตวิญญาณของความเป็นไทยได้เป็นอย่างดีนับเป็นผลงานที่คนไทยทั้งชาติรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถแสดงให้ชาวโลกได้ประจักษ์ในความสามารถด้านหัตถศิลป์ที่เกิดจากภูมิปัญญาที่หลักแหลมของบรรพบุรุษไทย ได้มอบให้เป็นมรดกอันล้ำค่าที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
     บายศรี คือ เครื่องใช้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงาม ใช้ประกอบในพิธีมงคลต่างๆ ของคนไทย ซึ่งตามประวัติความเป็นมาของบายศรีนั้น ไม่มีผู้ใดทราบแน่นอน ปรากฏเพียงว่าไทยได้รับอิทธิพลพราหมณ์ ซึ่งเชื่อว่าบายศรีเป็นที่สถิตของเทพเจ้า และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสิริมงคล ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและกำลังใจ ดังนั้นจึงใช้เฉพาะในพิธีมงคลเท่านั้น และนิยมใช้ตั้งแต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์พระราชวงศ์ชั้นสูงตลอดจน ถึงประชาชนทั่วไปในอดีตนิยมใช้ใบตองตานีสด เนื่องจากมีความเหนียวไม่ค่อยแตก ไม่เหี่ยวง่าย สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน ทั้งนำมาพับหรือม้วนให้มีรูปแบบต่างๆ ตามที่ต้องการได้ดี มีการประดับตกแต่ง ด้วยดอกไม้นานาชนิดที่มีชื่อเป็นมงคล เช่น ดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ดอกดาวเรือง ดอกขจร นอกจากนี้ยังมีอาหารคาวหวานต่างๆ วางตามชั้นแต่ละชั้นของบายศรีโดยเลือกชนิดที่เป็นมงคล เช่น มะพร้าวอ่อน ไข่ต้ม ข้าวสุก กล้วยน้ำว้า แตงกวา ฝอยทอง ขนมชั้น ขนมถ้วยฟู เป็นต้น
     ในปัจจุบันบายศรีนิยมนำมาใช้ในพิธีต่างๆ เช่น การเลี้ยงต้อนรับอาคันตุกะ การรับน้องใหม่ของนิสิตนักศึกษาในสถาบันการศึกษา พิธีทำขวัญนาค พิธีสู่ขวัญบ่าวสาว สำหรับความนิยมในการใช้บายศรีประกอบในพิธีมงคลต่างๆ ของชาวไทยยังคงมีให้เห็นอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน โดยเฉพาะ ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน ซึ่งรูปแบบบายศรีทั้ง 3 ภาคนั้น จะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่ต่างกัน คือ การตกแต่งประดับประดา ให้วิจิตรตระการตาด้วยเครื่องประกอบต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับฐานะตำแหน่งของเจ้าภาพ และโอกาสในการใช้เท่านั้น
            
Share:
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Feature Post

Seacrh By Labels

Blogger templates